ปกติข้าพเจ้าไม่ค่อยจะกลัวผีเพราะมั่นใจในตัวเองว่าเกิดวันแข็งไม่มีใครทำอันตรายได้ แต่พอเจอกับตัวเข้าก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวกว่าแต่ก่อน เรื่องมันมีอยู่ว่า
ข้าพเจ้ากับเพื่อนหญิง ชื่อเจี๊ยบ (เราอยู่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา) ได้ตกลงกันจะไปเยี่ยมเพื่อนอีกคนที่อยู่อำเภอปากช่อง จังหวัดเดียวกัน กว่าจะเดินทางมาถึง อ.ปากช่อง ก็ตกช่วงบ่าย เป็นเวลาที่เพื่อนที่เรามาหากำลังจะไปงานศพอยู่พอดี ก็เลยชวนไปงานศพด้วยกัน
ข้าพเจ้าชอบอยู่แล้วเรื่องอย่างนี้ (อยากดูหน้าศพ) ส่วนเจี๊ยบขอตัวอยู่บ้าน ข้าพเจ้ากับเพื่อนก็เลยไปกัน 2 คน ระหว่างทางข้าพเจ้าก็ถามว่างานศพใคร เพื่อนก็เล่าให้ฟังว่าเป็นงานศพเด็กแถวๆ บ้าน ปกติเด็กคนนี้ไม่ค่อยจะชอบเล่นกับเด็กแถวบ้านด้วยกัน แต่ชอบขี่จักรยานไปเล่นกับเด็กฟากตรงข้ามกับบ้านตนเอง
บ้านเพื่อนคนนี้ติดกับถนนมิตรภาพ (ซึ่งเป็นถนนที่มีรถบัสรถบรรทุกวิ่งผ่านกันบ่อย เพราะตอนนั้นยังไม่มีถนนบายพาสส์ ต้องผ่านปากช่องทุกคันถ้าจะไปกรุงเทพหรือล่องอีสาน)
เมื่อไม่กี่วันมานี้เองเด็กคนนี้ก็ไปเล่นกับเพื่อนอีกฟากถนนตามปกติ แต่ตอนกลับได้ขี่รถจักรยานตัดหน้ารถบัสซึ่งแซงรถบัสอีกคันที่รอรับผู้โดยสาร เป็นผลให้รถบัสชนเด็กคนนี้กระเด็นแถมยังทับศีรษะเด็กเละ พอพ่อแม่เด็กรู้เรื่องเพราะที่เกิดเหตุอยู่หน้าบ้าน ผู้เป็นแม่เป็นลม ส่วนพ่อเด็กตั้งสติได้ ไปอุ้มศพโดยเอาหัวพาดไหล่ไปด้านหลัง โดยให้เหตุผลว่าอย่าดูเลยไม่มีหน้าให้ดู
วันนั้นเป็นวันเผาเด็กคนนั้น พอไปถึงวัดก็จุดธูปไหว้ศพ สักครู่ก็ถึงเวลานำศพลงจากศาลามาเมรุในวัดเล็กๆ ชาวบ้านที่มาร่วมงานนำดอกไม้จันทน์ไปใส่ในโลงศพ เพื่อนกับข้าพเจ้าก็ตามไปใส่ พอเพื่อนข้าพเจ้าใส่ดอกไม้จันทน์เสร็จก็หันมากระซิบกับข้าพเจ้าว่า อย่าไปมองหน้า
ข้าพเจ้าเฉยๆ ไม่ได้รับคำอย่างใดแต่ก็อดชำเลืองมองไม่ได้ว่าสภาพศพจะเป็นอย่างไร (ก็บอกแล้วไงว่าชอบดู) ข้าพเจ้าเห็นสภาพไม่น่าเกลียดเพราะเขาพันผ้าก๊อซสีขาวเอาไว้ทั้งหัวไม่เห็นตาจมูก ปากเลย ก็คิดในใจ ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย
เผาเสร็จต่างคนก็ต่างกลับ มาถึงบ้านคุยเรื่องอื่นสัพเพเหระไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้คิดอะไร เมื่อถึงเวลานอนเพื่อนก็ให้ข้าพเจ้านอนกับเจี๊ยบที่หน้าทีวี กางมุ้งปูเสื่อนอน ส่วนเพื่อนไปนอนในห้องครัว
บ้านเพื่อนข้าพเจ้านั้นเลี้ยงแมวไว้หลายตัว ส่วนมากจะเป็นแมวรุ่นๆ ชอบซนไปทั่ว ข้าพเจ้าก็ว่าน่ารักดี ตกตึกต่างคนต่างนอน ส่วนข้าพเจ้าเป็นคนนอนดึกยังไม่หลับง่ายๆ ก็จะนอนมองแมวมันหยอกกัน
สังเกตว่าแมวบ้านนี้ชอบที่จะวิ่งชนมุ้ง เพราะเวลามุ้งเหน็บอยู่ใต้เสื่อมันจะตึงทำให้เวลาชนแล้วกระเด้งออกมาทำให้พวกแมวสนุกสนาน วิ่งชนหลายครั้งแล้วก็ไปวิ่งไล่จับกันต่อ ดูพวกแมวเล่นได้ซักหน่อยก็ผล็อยหลับ
มาสะดุ้งตื่นอีกก็เมื่อเจ้าแมว 2 ตัวที่ชอบวิ่งชนมุ้งมันวิ่งเข้ามาไล่กันในมุ้ง ข้าพเจ้าสงสัยอะไรกันมุ้งก็เหน็บดีแล้วทำไมยังวิ่งเข้ามาได้ ก็เลยพยายามสอดส่ายสายตาหาต้นตอที่ทำให้แมว 2 ตัวเข้ามาในมุ้งได้ ก็ไปจ๊ะเอ๋กับร่างๆ หนึ่งลักษณะการแต่งตัวสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวกางเกงสีขาวขายาว กำลังนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งใช้มือขวาค่อยๆ เลิกมุ้งให้สูงขึ้น
ข้าพเจ้าเห็นดังนั้นก็คิดไว้ก่อนเลยว่า ไอ้เพื่อนเฮงซวยอยู่ในครัวมาแกล้งแหงเลย เอาเถอะวะมองหน้าให้ชัดๆ จะได้จับได้คาหนังคาเขา ข้าพเจ้าพยายามเพ่งสายตาให้ชินกับความมืด เมื่อชินแล้วก็เพ่งไปที่ร่างนั้น
อ้าว…ไม่ใช่เพื่อนเรานี่หว่า มันไม่มีหน้า มีแต่ผ้าก๊อซสีขาวพันไว้ทั้งหัวกำลังจะก้มหน้าลงมา ข้าพเจ้าขนลุกซู่เอาละโว้ย เจอดีเข้าแล้วหลับตาถอยหลังกรูดไปชนกับเจี๊ยบซึ่งนอนอยู่ข้างๆ ให้ลุกไปเปิดไฟ เจี๊ยบถามว่า “ทำไมเป็นอะไร” ข้าพเจ้าบอกว่า “เถอะน่าเปิดไฟเถอะ”
ในขณะที่เจี๊ยบลุกเปิดไฟข้าพเจ้าก็เพ่งกลับไปที่เดิม ร่างลึกลับช่วงนั้นยังไม่ไปไหน ไอ้พวกแมวๆ ก็วิ่งเข้าวิ่งออกระหว่างในมุ้งกับนอกมุ้งเหมือนไม่มีอะไรเกิด พอเพื่อนเปิดไฟปุ๊ป แสงสว่างกระจายไปทั่วห้อง แต่ทว่าร่างลึกลับมีผ้าขาวพันศีรษะนั่นหายไปแล้ว พร้อมชายมุ้งก็ถูกตลบไว้กลับตกลงมาในสภาพชายถูกม้วนแนบเหน็บไว้ใต้เสื่อ เหมือนกับว่าไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
เจี๊ยบจับต้นแขนแน่นพยายามคาดคั้นให้ตอบให้ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างที่ทุกคนนอนหลับ
ข้าพเจ้าตัดบทสั้นๆว่า “ไม่มีอะไร”
ทั้งๆที่ความรู้สึกนั้นยังนึกหวาดๆ ว่านี่มันอะไรกัน เราไม่ใช่เพื่อนไม่ใช่ญาติ แต่เขาตามเรามาทำไม เขาต้องการหรือจะบอกอะไรกับเรา และที่ควรจะสงสัยให้หนักก็คือ วิญญาณของคนตายสามารถผ่านผีบ้านผีเรือนที่บ้านเพื่อนเข้ามาเปิดมุ้งเราได้อย่างไร
ข้าพเจ้ายอมรับว่า ความนึกคิดในช่วงนั้นดูจะสับสนมาก หลับๆตื่นๆจนกระทั่งรุ่งเช้า คำถามประโยคเดิมของเพื่อนก็เริ่มขึ้นหลังตื่นนอน มองออกไปข้างนอกฟ้าสว่างแล้ว
เมื่อความมืดอันเป็นบรรยากาศประกอบความน่ากลัวหมดไป การเล่าถึงสิ่งที่ผ่านมาเมื่อตอนกลางดึกจึงดูจะสะดวกขึ้น
“ฉันเห็นคนมานั่งอยู่ข้างมุ้ง” เพื่อนสองคนหันมามองหน้ากันจี้ถามทันควัน
“รูปร่างเป็นไง น่ากลัวมั๊ย นอกจากนี้แล้วทำไงอีก ตาโบ๋เปล่า”
ข้าพเจ้าให้รายละเอียดไปว่า เป็นร่างเงาที่ไม่เคยเห็น แต่จำได้แม่นยำว่ามีผ้าสีขาวพันรอบหัวเหมือนได้รับบาดเจ็บ
“นั่นไง มาจนได้” เพื่อนเจี๊ยบคนชวนไปงานศพตอนเย็นวานอุทาน
“บอกแล้วก็ไม่เชื่อว่าอย่าไปมองมันติดตา เอ้อ…เขาคงจะมาทำความรู้จักหรือแนะนำตัวมั๊ง ในฐานะที่อุตส่าห์ให้เกียรติไปงานศพเขาทั้งๆที่ยังไม่รู้จักกันเลย จะบอกให้นะ เวลาไปงานศพที่ตายโดยผิดธรรมชาติ ผู้ใหญ่เขาสั่งสอนไว้ว่าอย่าไปมองศพโดยไม่จำเป็น ใครลอบมองหรือชำเลืองมอง วิญญาณคนตายจะตามมาส่งจนถึงบ้าน ดีนะเนี่ยไม่เปิดมุ้งเข้ามานอนด้วยก็บุญเท่าไหร่แล้ว ทำไมถามตอนถอยมาชนฉันถึงไม่เล่าให้ฟังจะได้กลับบ้านกันเสียตอนนั้นเลย”
ข้าพเจ้าบอกว่าไปว่า มันไม่สะดวกหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องผีกับผู้หญิงมันเข้ากันไม่ได้แต่ไหนแต่ไรมาแล้วเห็นปุ๊บเล่าปั๊บ เธอนึกภาพดูก็แล้วกันว่ามันจะเกิดโกลาหลขนาดไหน จึงกลั้นใจไว้มาเล่าให้ฟังตอนสว่างแล้วนี่ไง
ต่อมาไม่นาน ฉันก็ได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้จากผู้ใหญ่ที่เข้ามาร่วมรับฟัง อันนี้หนักไปในทาทัศนคติของคนจีน คือหลังจากไปงานเผาศพแล้วเมื่อกลับถึงบ้านให้หาใบทับทิมมาแช่น้ำแล้วล้างหน้าทุกครั้งไป ถือกันว่าทับทิมเป็นพืชมงคลและเป็นต้นไม้แห่งโชคลาภ
พอเล่าให้ใครต่อใครที่นั่งล้อมวงฟังจบลงเสร็จก็หันมาสบตากันเป็นสัญญาณว่า “เจอ”
ดีกว่าอะไรทั้งหมดพอรุ่งขึ้นอีกวัน ก็ใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้เป็นการขอลุแก่โทษที่บังอาจไปชำเลืองมองหน้าเขาในช่วงสัปเหร่อต่อยน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ ต่อจากนี้ไปผู้ใหญ่สั่งสอนอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เห็นจะต้องท่องจำให้ขึ้นใจไว้หน่อย เพราะการมาทำความรู้จักกันแบบนี้จะมีคนชอบก็แต่ “ชมรมขนหัวลุก” ของมยุราช่อง 5 แห่งเดียว สถาบันส่วนตัวทั่วไปดูจะไม่ค่อยชอบ
หลังจากเหตุการณ์ในคืนวันนั้นข้าพเจ้าได้นำเรื่องมาเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็ดูจะคล้อยตามความเชื่อถือขอผู้ใหญ่รุ่นก่อนที่เคยสั่งสอนลูกหลานไว้ในเรื่องแบบนี้ แถมยังยอมรับอีกว่า คนในครอบครัวของเราหลายคนไม่รู้ว่าสั่งสมบุญบารมีอะไรไว้จึงมักจะพบเห็นหรือมีรายการ “จักษุสัมผัส” กับวิญญาณต่างๆอยู่บ่อยๆ ไม่ที่โน่นก็ที่นี่ไม่พี่ก็น้องเหมือนตระกูลที่เกิดมาพร้อมกับเครื่องรับภาพของภูตผีโดยเฉพาะยังงั้นแหละ
อีกอย่างนะ การเล่าเรื่องผีนี้ พอคนหนึ่งจบก็จะมีคนเล่าต่อตามประสบการณ์ที่เคยพบ ต่างกันทั้งสานที่และพฤติกรรม ไอ้กลัวน่ะกลัวแน่ แต่ความอยากฟังมันห้ามไม่ได้ แม่ก็เลยงัดเอาเรื่องเมื่อ 30 ปีที่แล้วมาเปิดเผยให้ลูกหลานฟังถึงสมัยที่คุณแม่ยังสาว บ้านเรือนผู้คนโดยเฉพาะบ้านชนบท ความเจริญเดินทางค่อนข้างช้า
ท่านบอกว่าเคยเจอกับตัวเองในขณะที่เดินทางไปต่างจังหวัดพร้อมกับพ่อ พี่สาวและ พี่ชายรวมทั้งหมด 4 คน (ในขณะนั้นผู้เขียนยังไม่เกิด) พอตกค่ำก็เข้าพักหลบในโรงแรม
โรงแรมสมัยก่อนในชนบทเป็นบ้านหลังเล็กๆ คล้ายๆกับเกสท์เฮ้าส์ในปัจจุบัน มุงด้วยจากทั้งหลังคาและฝาผนังบางด้าน ในคืนแรกทุกคนมาหลับด้วยความอ่อนเพลียไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น หลับกันสบาย พอเช้าพ่อเข้าเมืองไปหาญาติๆของพ่อ โดยที่แม่และลูกๆ สองคนยังอยู่ที่โรงแรงแห่งนี้ต่อไป
ขณะที่พี่ๆ ของแม่ออกไปเล่นข้างนอกกับเด็กๆ ของผู้เช่าข้างเคียง แม่บอกว่าอยู่ๆก็เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นมาเฉยๆ เหมือนกับเมารถ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นมีห่อสีขาวยาวๆคล้ายกับห่ออะไรสักอย่างอยู่ใต้เตียง
แม่บอกว่าถ้าหากออกจากห้องไปข้างนอกก็จะหายปวดหัว แต่ถ้าเริ่มขึ้นบันไดเข้าห้องเมื่อไรก็จะเริ่มปวดหัวทันที
แม่ก็จะสังเกตในขณะที่พวกพี่ๆ สองคนเข้านอนตอนบ่ายเพราะพวกพี่ๆ เขาจะนอนข้างล่างนั่น หมายถึงเวลามองไปใต้เตียงจะต้องเห็นอะไรสักอย่างอย่างที่แม่เห็น แต่พวกพี่ๆ ก็เหมือนไม่เห็น กลับนอนหลับสบายไปจนเย็น แต่แม่กลับมีอาการวิงเวียนคล้ายเมารถตลอดเวลาที่อยู่ในห้อง
เมื่อถึงเวลากินข้าว พ่อกลับจากในเมือง แม่ก็สังเกตทำไมไม่มีคนเห็นห่อขาวๆ ใต้เตียงเลย ทุกคนก็ยังกินข้าวต่อไปตามปกติ เมื่อถึงเวลานอนพวกพี่ก็จะหลับสบายเพราะในตอนกลางวันเล่นกันจนเหนื่อยๆ ส่วนพ่อแม่นอนกันบนเตียงพอนอนไปได้สักครู่พ่อก็ลุกไปข้างนอก แม่ถามว่าจะไปไหน พ่อบอกว่าจะไปซักผ้า แม่ก็พยักหน้าแล้วก็นอนต่อ
ประมาณครึ่งชั่วโมงได้แม่บอกว่าแม่เห็นเหมือนพ่อเข้ามาในห้อง มานอนข้างๆ แม่ แต่นอนแบบตะแคงหันหลังให้แม่ แม่ก็เลยถามพ่อว่าซักผ้าเสร็จแล้วเหรอ พ่อไม่ตอบ แม่ถามย้ำอีกครั้งพ่อก็ไม่ตอบแต่พลิกกลับมามองแม่โดยที่ตาของพ่อเป็นสีแดงวาวพร้อมแสยะยิ้มให้แม่
แม่ตกใจว่าไม่ใช่พ่อ พยายามจะกระโดดลงจากเตียงเพื่อไปปลุกพี่ๆ ให้ตื่นแต่ลุกไม่ได้ เหมือนตัวหนัก เจ้าตัวที่แม่เห็นเป็นพ่อก็กระโดดไปปลายเตียง พร้อมกับยกเตียงขึ้นเหมือนกับจะพลิกให้เตียงคว่ำไปทับพี่ๆ สองคนที่นอนอยู่
แม่ตกใจกลัวก็เลยตะโกนสุดเสียงให้ห้องข้างเคียงช่วย พ่อได้ยินเสียงแม่ก็วิ่งมาที่ห้องพร้อมกับแขกและชาวบ้านที่พักอยู่ข้างเคียง พอไปถึงห้อง แม่บอกว่ามีคนจะมายกเตียงฉัน พ่อก็เข้าไปหา แต่หาไม่เจอ
บ้านที่อยู่แถวโรงแรมก็เลยบอกแม่ว่า ห้องนี้เมื่อไม่นานมีผู้หญิงมาผูกคอตาย แต่เจ้าของโรงแรมไม่กล้าบอกกลัวจะไม่ได้เงิน
พอรุ่งเช้าพ่อกับแม่ก็เลยพาพี่ๆ รีบกลับบ้าน แม่ยังเล่าติดตลกอีกว่า ไอ้พวกพี่ๆ สองคนไม่รู้มันหูหนวกหรือไง ขนาดแม่ตะโกนให้ช่วยแทนที่มันจะลุกขึ้นมาดู มันกลับพากันกรนคร่อกๆ อยู่ได้
โรงแรมแห่งนี้ลักษณะคล้ายบ้านยกสูงมีใต้ถุน ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมอยู่ไกลจากห้องพักมาก ในห้องพักจะมีเตียงโปร่งมีฟูกและหมอนสองใบเท่านั้น พื้นเป็นพื้นไม้ แต่ละห้องจะอยู่ห่างกันประมาณ 2-3 เมตร หลังคามุงจาก มีบันไดแบบบ้านนอกพาดถึงประตูห้องเลย ปัจจุบันกลายเป็นตึกรามบ้านช่อง เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กไปหมดแล้ว
จาก ต่วยตูน พิเศษ